น้ำมันรถมีกี่ประเภท แบบไหนเหมาะกับรถของคุณที่สุด

เมื่อต้องเติมน้ำมันรถ หลายคนอาจเคยงงกับชื่อของน้ำมันที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล หรือสูตรพิเศษต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์รถแต่ละประเภท แต่คำถามสำคัญคือ “น้ำมันไหนเหมาะกับรถของเราที่สุด?”
บทความนี้ IDDriver จะพาคุณมาทำความเข้าใจง่าย ๆ เกี่ยวกับประเภทของน้ำมันรถ และวิธีเลือกชนิดน้ำมันให้เหมาะกับเครื่องยนต์ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและรักษารถของคุณให้ใช้ได้นานที่สุด

น้ำมันรถมีกี่ประเภท?

น้ำมันรถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
• น้ำมันสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
• น้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

และภายในแต่ละประเภทก็จะแบ่งย่อยลงไปอีกตามค่าออกเทน (สำหรับเบนซิน) และคุณสมบัติการใช้งานต่าง ๆ ไปดูรายละเอียดกันครับ

1. น้ำมันเบนซิน (Gasoline)

น้ำมันเบนซินเหมาะกับรถยนต์เครื่องเบนซิน เช่น รถเก๋งทั่วไป รถ Eco Car และรถยนต์ที่เน้นความเงียบและนุ่มนวลในการขับขี่

น้ำมันเบนซินจะแบ่งตาม ค่าออกเทน (OCTANE) ซึ่งเป็นค่าบอกความทนต่อการเขกหรือการจุดระเบิดก่อนเวลาในเครื่องยนต์

ประเภทเบนซินที่พบได้บ่อย

  • เบนซิน 91

เหมาะกับรถรุ่นเก่าหรือรถที่ไม่ต้องการค่าออกเทนสูงมาก

  • เบนซิน 95

ค่าออกเทนสูงขึ้น เหมาะกับเครื่องยนต์กำลังแรง หรือรถรุ่นใหม่ที่ต้องการการเผาไหม้สมบูรณ์

  • แก๊สโซฮอล์ (E10, E20, E85)

เป็นการผสมน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ทำให้ราคาถูกลงและรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่า
• E10 (แก๊สโซฮอล์ 91 และ 95): ใช้งานได้กับรถส่วนใหญ่
• E20: เหมาะกับรถที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเชื้อเพลิงที่มีเอทานอลมากขึ้น
• E85: มีเอทานอลสูงถึง 85% ต้องใช้กับรถที่รองรับโดยเฉพาะ

ข้อดีของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์
• เดินเรียบนุ่ม
• เสียงเครื่องยนต์เบา
• ประหยัดกว่าในบางสูตร

2. น้ำมันดีเซล (Diesel)

รถปิคอัพ รถบรรทุก SUV เครื่องยนต์ใหญ่ และรถที่ต้องการแรงบิดสูง จะใช้น้ำมันดีเซล

ดีเซลในปัจจุบันแบ่งออกเป็นรุ่นต่าง ๆ เพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น เช่น

  • ดีเซลธรรมดา

เหมาะกับรถกระบะและรถใช้งานทั่วไป

  • ดีเซลพรีเมียม

เพิ่มสารชะล้างหัวฉีด ลดเขม่า เพิ่มกำลังเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องเดินเรียบขึ้น

ข้อดีของดีเซล
• ให้แรงบิดสูง เหมาะกับรถบรรทุกหรือใช้งานหนัก
• ประหยัดน้ำมันและคงทน
• เหมาะกับการขับทางไกล

ถ้าเติมน้ำมันผิดประเภทจะเกิดอะไรขึ้น?

การเติมผิดประเภท เช่น เติมเบนซินใส่รถดีเซล หรือเติมดีเซลใส่รถเบนซิน จะทำให้เครื่องยนต์พังทันที อาจถึงขั้นต้องยกเครื่องใหม่

อาการที่เกิดขึ้น เช่น
• เครื่องดับ
• รถสตาร์ทไม่ติด
• ระบบเชื้อเพลิงเสียหาย
• หัวฉีดพัง

ดังนั้น ก่อนเติมน้ำมันทุกครั้ง ควรเช็กประเภทน้ำมันที่รถระบุในคู่มือเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

แล้วจะ “เลือกน้ำมันรถ” ยังไงให้เหมาะกับรถของคุณ?

นี่คือวิธีเลือกน้ำมันรถที่ถูกต้องที่สุด 👇

✔ 1. เช็กคู่มือรถเป็นหลัก

คู่มือจะบอกประเภทน้ำมันที่เหมาะสมที่สุด

✔ 2. ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันแพงที่สุด

ถ้ารถไม่ได้ต้องการค่าออกเทนสูง การใช้น้ำมันที่แพงเกินความจำเป็นไม่ได้ช่วยให้รถแรงขึ้น

✔ 3. เลือกตามสไตล์การขับ
• ขับในเมือง: เลือกสูตรประหยัดพลังงาน
• ขับแรง ขับไกลบ่อย ๆ: ใช้น้ำมันออกเทนสูงหรือดีเซลพรีเมียม

✔ 4. เลือกสถานีที่ได้มาตรฐาน

เพื่อป้องกันน้ำมันปนเปื้อนที่อาจทำให้เครื่องยนต์มีปัญหา

สรุป

น้ำมันรถมีหลายประเภท และแต่ละแบบถูกออกแบบมาเพื่อรองรับรถรุ่นต่าง ๆ และสไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน หากเลือกน้ำมันผิดประเภทอาจทำให้รถสึกหรอเร็วหรือถึงขั้นเสียหายหนัก แต่ถ้าเลือกถูกต้อง ก็จะช่วยให้รถ
• ประหยัดน้ำมัน
• เครื่องเดินเรียบ
• อายุการใช้งานยาวขึ้น

ดังนั้น ก่อนเติมน้ำมันทุกครั้ง อย่าลืมตรวจสอบให้ชัดว่า รถของคุณเหมาะกับน้ำมันประเภทไหน แล้วรถของคุณจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพทุกเส้นทาง

สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th

บทความล่าสุด

ข่าวล่าสุด