ในช่วงที่ฝนตกหนักหรือเกิดน้ำท่วมฉับพลันทางไอดีไดร์ฟเวอร์ ขอส่งกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทางภาคใต้ และมาแนะนำผู้ที่จะเดินทางไปพื้นที่น้ำทั่ว การเดินทางด้วยรถยนต์อาจกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ เพราะน้ำท่วมเพียงไม่กี่เซนติเมตรอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย ระบบไฟฟ้าพัง หรือรถดับกลางน้ำได้ทันที ดังนั้นผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ว่า “น้ำท่วมระดับไหนไม่ควรขับรถลุยน้ำ” เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ลดค่าใช้จ่ายซ่อมแซม และเพิ่มความปลอดภัยระหว่างเดินทาง
- ทำไมต้องรู้ระดับน้ำที่ปลอดภัย?
น้ำท่วมเป็นภัยเงียบที่ทำให้รถเสียหายหนัก หากผู้ขับขี่ตัดสินใจผิดเพียงเสี้ยววินาที เช่น ขับผ่านน้ำที่ลึกเกินไป อาจทำให้น้ำเข้าท่อไอเสีย กรองอากาศ หรือระบบไฟฟ้า เกิดความเสียหายที่มีค่าใช้จ่ายสูง บางกรณีถึงขั้นต้องยกเครื่องใหม่
ดังนั้นผู้ใช้รถจึงต้องเข้าใจว่า น้ำท่วมระดับไหนไม่ควรขับรถลุยน้ำ เพื่อให้การตัดสินใจปลอดภัยยิ่งขึ้น
- ระดับน้ำต่ำกว่า 10 เซนติเมตร – ยังพอขับได้ แต่ต้องเพิ่มความระวัง
หากระดับน้ำอยู่เพียงประมาณข้อเท้า หรือราว 5–10 เซนติเมตร รถยังสามารถขับผ่านได้โดยที่ความเสี่ยงไม่สูงมาก แต่ควรลดความเร็ว รักษาความเร็วคงที่ และหลีกเลี่ยงการกระแทกน้ำแรง ๆ
อย่างไรก็ตาม หากน้ำไม่ใสหรือมองไม่เห็นพื้นถนน ก็ยังมีโอกาสเกิดความเสี่ยง เช่น หลุมบ่อหรือวัสดุแหลมตามถนน
- ระดับน้ำ 10–20 เซนติเมตร – เริ่มเสี่ยง รถเตี้ยอาจได้รับผลกระทบ
น้ำระดับนี้อาจเข้าถึงท่อไอเสียหรือระบบเบรกได้ หากรถมีช่วงล่างต่ำ เช่น รถเก๋งหรือรถสปอร์ต ยิ่งมีความเสี่ยงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่น้ำไหลแรง
ระดับนี้จัดว่าเป็น โซนเริ่มต้นความเสี่ยง
- ระดับน้ำ 20–30 เซนติเมตร – เสี่ยงเครื่องดับ น้ำเริ่มเข้าระบบ
ระดับน้ำสูงประมาณครึ่งล้อหรือราว 20–30 เซนติเมตร ถือเป็นระดับที่ไม่ควรขับลุยถ้าไม่จำเป็น เพราะน้ำสามารถกระเด็นเข้าสู่กรองอากาศและท่อไอเสีย ทำให้เกิดภาวะ “วอเตอร์แฮมเมอร์” ส่งผลให้ลูกสูบหรือก้านสูบเสียหายอย่างหนัก
นี่คือหนึ่งในระดับน้ำที่ต้องระวังมากที่สุด
และเป็นคำตอบชัดเจนของคำถาม
“น้ำท่วมระดับไหนไม่ควรขับรถลุยน้ำ?”
ระดับน้ำตั้งแต่ 20 เซนติเมตรขึ้นไปเริ่มอันตรายแล้ว
- ระดับน้ำ 30–50 เซนติเมตร – ไม่ควรลุยเด็ดขาด!
น้ำระดับนี้สูงถึงกันชนหรือเกือบถึงประตูรถแล้ว ระบบไฟฟ้า เซ็นเซอร์ กล่อง ECU และชิ้นส่วนสำคัญอื่น ๆ มีโอกาสถูกน้ำเข้าทำให้เกิดความเสียหายหนัก
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น:
• รถดับกลางน้ำ
• ระบบไฟฟ้าลัดวงจร
• น้ำเข้าห้องโดยสาร
• ประตูพรมและระบบแอร์เสียหาย
• เครื่องยนต์พังยกชุด
ค่าใช้จ่ายซ่อม: หลักหมื่นถึงหลักแสนบาท
ระดับนี้คือคำตอบชัดเจนว่า “ไม่ควรลุยเด็ดขาด!”
- ระดับน้ำสูงกว่า 50 เซนติเมตร – อันตรายถึงชีวิต
หากน้ำสูงถึงครึ่งประตูรถหรือสูงกว่า ไม่เพียงทำให้รถพัง แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกกระแสน้ำพัด รถลอย หรือสูญเสียการทรงตัว โดยเฉพาะหากเป็นน้ำที่ไหลแรง
ข้อควรรู้ :
• น้ำเพียง 30–40 เซนติเมตร สามารถพัดรถเก๋งให้ล้มได้แล้ว
• น้ำ 60 เซนติเมตร สามารถทำให้รถลอยหรือเคลื่อนไม่ได้
ระดับนี้ควรหยุดรถทันทีและหาทางเลี่ยง
- หากจำเป็นต้องลุยน้ำ ควรทำอย่างไร?
หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรปฏิบัติตามนี้:
ใช้เกียร์ต่ำ (L หรือ 1)
รักษาความเร็วคงที่
ไม่เร่งหรือเบรกกระทันหัน
ขับตรง ไม่เปลี่ยนเลน
เว้นระยะห่างให้มาก
ให้รถใหญ่ผ่านก่อนเพื่อกระจายน้ำ
หากรถเริ่มสะดุด ให้ชะลอและหาทางออกทันที
- หลังลุยน้ำต้องตรวจรถทันที
เพื่อป้องกันความเสียหายตามมา ควรเช็กดังนี้:
• แตะเบรกเพื่อไล่น้ำ
• ตรวจกรองอากาศ
• ตรวจน้ำมันเครื่อง (หากขุ่น → น้ำเข้า)
• ฟังเสียงเครื่องยนต์ผิดปกติ
• ตรวจใต้ท้องรถ เศษโคลนหรือขยะ
สรุป : น้ำท่วมระดับไหนไม่ควรขับรถลุยน้ำ? ตั้งแต่ 20–30 เซนติเมตรขึ้นไปคือโซนอันตราย
ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ หากไม่มั่นใจระดับน้ำ อย่าฝืนขับผ่าน เพราะความเสียหายจากน้ำท่วมรถ ไม่เพียงแพง แต่ยังเสี่ยงต่อชีวิตผู้ขับอีกด้วย
สนใจเรียนเรียนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : สอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ที่ ไอดี ไดร์ฟเวอร์
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 083-5161596 หรือ 093-4083377
อีเมล : contact@iddrives.co.th







